การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่การบูรณาการจัดการน้ำร่วมกัน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย เกิดจากอิทธิพลของความกดอากาศ อิทธิพลกระแสลมของมหาสมุทรแปซิฟิกส่งผลกระทบต่อปรากฎการณ์เอลนีโญ และลานีญา รวมถึงอิทธิพลจากมหาสมุทรอินเดียซึ่งส่งผลกระทบต่อปรากฏการณ์ IOD (Indian Ocean Dipole) ล้วนส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ภาคตะวันออก บริษัทจึงได้มีการติดตามการคาดการณ์ปริมาณฝนล่วงหน้า (แบบจำลอง International Research Institute for Climate and Society : IRI) สถานการณ์ปริมาณฝน ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ และคาดการณ์สภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องและใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับประเมินความเพียงพอของแหล่งน้ำต้นทุนในพื้นที่ให้บริการจ่ายน้ำของบริษัท เทียบกับความต้องการใช้น้ำของลูกค้า เพื่อพัฒนาโครงข่ายท่อส่งน้ำให้รองรับความต้องการใช้น้ำในระยะยาวได้
การสร้างเสถียรภาพของระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำ
บริษัทมีโครงข่ายท่อส่งน้ำครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก อันได้แก่ จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา ความยาวท่อรวมกว่า 553 กิโลเมตร โดยมีการเชื่อมโยงต่อกัน และเชื่อมต่อแหล่งน้ำหลัก-แหล่งน้ำสำรองของทั้งภาครัฐ และของบริษัท ในรูปแบบ Water Grid ให้สามารถบริหารจัดการน้ำแต่ละแหล่งได้อย่างมีความเหมาะสมต่อความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ สอดคล้องต่อปริมาณน้ำต้นทุนในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการพิจารณาแหล่งน้ำสำรองเพื่อสร้างเสถียรภาพของแหล่งน้ำ ตลอดจนพัฒนาโครงข่ายท่อส่งน้ำรองรับความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออก บริษัทจึงมีแผนการดำเนินงานสร้างเสถียรภาพของระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำ ประกอบด้วยกัน 3 ส่วน ได้แก่
- การเพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำต้นทุน
- การพัฒนาระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำ (Water Grid)
- การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศล่วงหน้า
การเพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำต้นทุน
จากการประเมินปริมาณความต้องการใช้น้ำจากระบบท่อส่งน้ำของบริษัท ทั้งในส่วนของปริมาณน้ำดิบ ปริมาณน้ำประปา และน้ำอุตสาหกรรม พบว่าความต้องการใช้น้ำในปัจจุบัน และในอนาคตเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องตามนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนการขยายตัวในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) บริษัทได้ทบทวนศักยภาพของโครงการเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนในพื้นที่ลุ่มน้ำต่าง ๆ โดยพิจารณาถึงความเพียงพอควบคู่ไปกับตำแหน่งของการพัฒนาแหล่งน้ำให้สอดคล้องกับตำแหน่งการใช้น้ำ และพิจารณาการพัฒนาแหล่งน้ำให้สูงกว่าปริมาณความต้องการใช้น้ำไม่น้อยกว่าร้อยละ 25.00 ของปริมาณความต้องการใช้น้ำทั้งหมด เพื่อรองรับสถานการณ์ในช่วงปีที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่าปกติ บริษัทจึงได้จัดทำแผนหลักในการพัฒนาแหล่งน้ำ และโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำทั้งในส่วนของการปรับปรุงท่อส่งน้ำเดิม การพัฒนาท่อส่งน้ำเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำ รวมถึงการพิจารณาแหล่งน้ำสำรองทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อสร้างเสถียรภาพของแหล่งน้ำดิบ อันจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าในช่วง20 ปีข้างหน้า โดยมี การปรับแผนการพัฒนาแหล่งน้ำไปจากปีก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้น้ำของชุมชนโดยรอบ รายละเอียดดังนี้

การพัฒนาระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำ (Water Grid)
บริษัทดำเนินโครงการเพิ่มศักยภาพให้กับระบบโครงข่ายท่อ ส่งน้ำของบริษัทอย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมโยงแหล่งน้ำหลักจากอ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำสำรองของทั้งภาครัฐ และของบริษัทในรูปแบบ Water Grid ให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเหมาะสมต่อความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ ดังนี้

1. โครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำดิบอ่างเก็บน้ำคลองหลวง-ชลบุรี
เพื่อเชื่อมโยงแหล่งน้ำหลักจากอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชชโลทร ของทั้งภาครัฐกับ Water Grid ให้สามารถบริหารจัดการน้ำเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับพื้นที่ชลบุรี และพื้นที่ปลวกแดง-บ่อวิน รองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ตามนโยบายรัฐบาลรวมถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำในอนาคต โดยมีความสามารถในการส่งจ่ายน้ำได้ประมาณ 142,000 ลบ.ม.ต่อวัน ความก้าวหน้าร้อยละ 93.00 ปัจจุบันสามารถจ่ายน้ำย้อนกลับผ่านเส้นท่อได้

2. โครงการก่อสร้างระบบท่อหนองปลาไหล-หนองค้อ-แหลมฉบัง
เพื่อเชื่อมโยงแหล่งน้ำหลักจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ ของทั้งภาครัฐกับ Water Grid รวมถึงเป็นการเพิ่มศักยภาพการส่งจ่ายน้ำจากพื้นที่ระยองไปยังพื้นที่ชลบุรี ให้สามารถบริหารจัดการน้ำเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับพื้นที่ชลบุรี รองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำในอนาคต โดยมีความสามารถในการส่งจ่ายน้ำได้ประมาณ 350,000 ลบ.ม.ต่อวัน ปัจจุบันสามารถจ่ายน้ำผ่านเส้นท่อไปยังพื้นที่แหลมฉบังได้ และงานก่อสร้างจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในไตรมาสแรก ของปี 2568

3. โครงการก่อสร้างระบบท่อมาบตาพุด-สัตหีบ
เพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งจ่ายน้ำจากพื้นที่ระยอง รวมถึงการขยายกำลังการผลิตกิจการประปาสัตหีบ โดยสามารถส่งจ่ายน้ำเพิ่มได้ประมาณ 135,000 ลบ.ม.ต่อวัน รองรับความต้องการใช้น้ำของลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้ารายใหม่ในอนาคตในพื้นที่สัตหีบ ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสามารถส่งจ่ายน้ำให้ลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567
การประสานความร่วมมือ และคาดการณ์สภาพภูมิอากาศล่วงหน้า
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบริษัทมีการวางแผนการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงได้มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เช่น กรมชลประทาน การประปาส่วนภูมิภาค การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการน้ำภาคตะวันออก (Keyman Water War Room) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) สถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กรมอุตุนิยมวิทยา กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นต้น
การบริหารจัดการน้ำร่วมกัน
แหล่งน้ำที่บริษัทนำมาใช้บริหารจัดการเป็นน้ำผิวดินที่สูบมาจากแหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งสามารถจำแนกตามการใช้งานได้เป็น 2 ลักษณะ คือ แหล่งน้ำหลัก และแหล่งน้ำสำรอง โดยมีรายละเอียดการจำแนก ดังนี้
แหล่งน้ำที่บริษัทได้รับการจัดสรรจากกรมชลประทาน ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำ ประแสร์ อ่างเก็บน้ำบางพระ ทั้งนี้ อ่างเก็บน้ำหนองค้อ และอ่างเก็บน้ำดอกกราย อยู่ระหว่างปรับปรุงและก่อสร้างสถานีสูบน้ำใหม่ เพื่อทดแทนทรัพย์สินส่วนที่คืนกรมธนารักษ์
แหล่งน้ำธรรมชาติที่บริษัทสามารถสูบใช้น้ำได้ในแต่ละปีโดยที่มีปริมาณน้ำต้นทุนเป็นปริมาณน้ำท่าตามฤดูกาล ได้แก่ แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำระยอง คลองทับมา และแหล่งน้ำเอกชน
แหล่งน้ำที่มีไว้เพื่อเสริมความมั่นคงของแหล่งน้ำหลัก ซึ่งต้องมีการเก็บสำรองน้ำไว้ล่วงหน้า โดยจะใช้ในกรณีที่ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำหลักมีน้อย และเกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ได้แก่ สระสำรองน้ำดิบสำนักบก สระสำรองน้ำดิบฉะเชิงเทรา สระสำรองน้ำดิบทับมา เป็นต้น

แหล่งน้ำหลักที่ได้รับจัดสรรจากกรมชลประทานเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนตุลาคมของปีถัดไป โดยในแต่ละปีโครงการชลประทาน จะแจ้งผู้ใช้น้ำนอกภาคเกษตร (ภาคอุปโภคบริโภค และภาคอุตสาหกรรม) เพื่อทราบปริมาณน้ำที่ได้รับอนุญาตในปีนั้น ๆ ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำช่วงต้นฤดูแล้ง (เดือนพฤศจิกายน) ปริมาณน้ำกักเก็บต่ำสุด แผนการส่งจ่ายน้ำภาคเกษตร การระบายน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ เป็นต้น
ทั้งนี้ ระหว่างรอบปีการจัดสรรจะมีการติดตามปริมาณการใช้น้ำดังกล่าว เพื่อจัดสรรปริมาณน้ำเพิ่มเติม ในกรณีที่มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำเพิ่มระหว่างรอบปี โดยสอดคล้องกับกรอบหนังสืออนุญาตการขอใช้น้ำจากแหล่งน้ำ
ในส่วนการสูบน้ำจากแม่น้ำบางปะกง ในปี 2567 บริษัทจัดประชุมกลุ่มผู้ใช้น้ำลุ่มน้ำบางปะกง และผู้เกี่ยวของเพื่อขอมติในการสูบน้ำ โดยเริ่มสูบน้ำระหว่างเดือนสิงหาคม 2567 ถึง พฤศจิกายน 2567 เพื่อส่งจ่ายให้กับผู้ใช้น้ำในภาคอุปโภคบริโภค และภาคอุตสาหกรรม ในพื้นที่ฉะเชิงเทราเป็นหลัก และอีกส่วนหนึ่งสูบผันไปเก็บสำรองไว้ยังอ่างเก็บน้ำบางพระ เพื่อสำรองไว้ให้กับผู้ใช้น้ำในพื้นที่ฉะเชิงเทรา และพื้นที่ชลบุรีในช่วงฤดูแล้งปี 2567
การบริหารจัดการน้ำ ในปี 2567 มีความท้าทายความสามารถในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เนื่องจากบริษัทได้ส่งมอบทรัพย์สินคืนกระทรวงการคลัง ในขณะที่ต้นปี 2567 โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ-แหลมฉบัง ของบริษัทแล้วเสร็จเพียงบางส่วน ส่งผลให้บริษัทต้องมีมาตรการซื้อน้ำดิบจากระบบท่อกรมธนารักษ์ส่งจ่ายให้กับลูกค้าในหลาย ๆ พื้นที่ เช่น ซื้อน้ำอ่างเก็บน้ำดอกกรายผ่านท่อกรมธนารักษ์ เพื่อส่งจ่ายพื้นที่ระยอง ซื้อน้ำอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลผ่านท่อกรมธนารักษ์ เพื่อส่งจ่ายพื้นที่ปลวกแดง-บ่อวิน และพื้นที่ชลบุรี เพื่อลดผลกระทบกับลูกค้าของบริษัท ตลอดจน เร่งรัดโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล- หนองค้อ-แหลมฉบัง ของบริษัทให้แล้วเสร็จ โดยภาพรวมสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำทั้งในพื้นที่ระยอง และพื้นที่ชลบุรี ในช่วงต้นปี 2567 ปริมาณน้ำฝนของพื้นที่ภาคตะวันออก มีค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยเพียงเล็กน้อย ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ชลบุรีใกล้เคียงเกณฑ์เฉลี่ย พื้นที่ระยอง ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์น้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติ นอกจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ที่มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งนี้ บริษัทกำหนดมาตรการเพื่อรองรับการใช้น้ำในปี 2568 ดังนี้

สรุปปริมาณน้ำทั้งหมดที่บริษัทสูบเพื่อบริหารจัดการในปี 2567 อยู่ที่ 256.89 ล้าน ลบ.ม. ลดลงจากปี 2566 เล็กน้อยเนื่องจากผู้ใช้น้ำในพื้นที่มาบตาพุดมีแหล่งน้ำทางเลือกเพิ่มขึ้นทำให้ลดการใช้น้ำจากบริษัทลง การที่ผู้ใช้น้ำบางส่วนพิจารณาไปรับน้ำจากระบบท่อกรมธนารักษ์ และการที่เศรษฐกิจชะลอตัวในภาคอุตสาหกรรมบางส่วนทำให้ลดกำลังผลิต และลดการใช้น้ำ
ภาพรวมการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่
การควบคุมน้ำสูญเสีย
น้ำ เป็นอีกหนึ่งทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประชาคมโลก และความยั่งยืนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นของการมีทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับคนรุ่นปัจจุบัน และอนาคต แต่ปัญหาการขาดแคลนน้ำที่นับวันยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไม่เพียงพอต่อภาคเกษตรกรรม ภาคอุปโภคบริโภค และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญของ ความยั่งยืนด้านน้ำ ดังนั้น องค์การสหประชาชาติ จึงได้ประกาศแผนปฏิบัติการระดับสากลระหว่างปี 2561 - 2571 (ค.ศ.2018-2028) ที่มีชื่อว่า “น้ำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Water for Sustainable Development) โดยมีการจัดการผสมผสานเรื่องของทรัพยากรน้ำให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น น้ำสูญเสีย (Non-revenue water : NRW) คือ น้ำที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบ ทำให้เกิดความสิ้นเปลือง ทั้งพลังงานจากการสูบจ่าย และการสูญเสียของทรัพยากรน้ำในระหว่างการสูบจ่ายก่อนถึงมือลูกค้า บริษัทในฐานะผู้นำใน การบริหารจัดการน้ำครบวงจรของประเทศ โดยเฉพาะการบริหารจัดการ และพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งรวมอุตสาหกรรม และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) บริษัทตระหนัก และเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้มาโดยตลอด ดังแสดงให้เห็นจากแนวทางการกำหนดนโยบายเรื่องการควบคุมน้ำสูญเสียให้อยู่ในปริมาณ ร้อยละ 2.50 ของปริมาณน้ำสูบเพื่อจ่ายตรงเข้าระบบ ไม่เพียงแค่การศึกษา และประเมินขีดความสามารถของการจัดการน้ำ บริษัทยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาเทคโนโลยีใหม่อันทันสมัยที่เหมาะกับระบบการสูบจ่ายน้ำของบริษัท
ในปี 2567 บริษัทสามารถควบคุมน้ำสูญเสียในเส้นท่ออยู่ที่ร้อยละ 1.33 ของปริมาณสูบ(จ่ายตรง) ดยบริษัทมีการควบคุมกิจกรรม การดำเนินงานต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดน้ำสูญเสียอย่างระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำเป็นสำคัญส่งผลให้บริษัทสามาถควบคุมปริมาณน้ำสูญเสียให้มีค่าน้อยกว่าของ ปี 2566

ตารางปริมาณการสูบจ่ายน้ำของบริษัท ปี 2565-2567
| ปี | ปริมาณน้ำสูบ (จ่ายตรง) (ลบ.ม.) |
ปริมาณน้ำจำหน่ายลูกค้า (ลบ.ม.) |
ปริมาณน้ำกักเก็บ (ลบ.ม.) |
ปริมาณน้ำสูญเสีย (ลบ.ม.) |
ร้อยละ ปริมาณน้ำสูญเสีย (การจ่ายตรงเข้าระบบ) |
|---|---|---|---|---|---|
| 2565 | 284,856,822 | 263,692,366 | 16,355,523 | 4,817,933 | 1.69 |
| 2566 | 299,251,262 | 260,592,055 | 33,122,633 | 5,536,574 | 1.85 |
| 2567 | 275,052,991 | 243,150,509 | 28,236,390 | 3,666,092 | 1.33 |
- ปริมาณน้ำสูญเสีย = ปริมาณน้ำสูบ(จ่ายตรง) - ปริมาณน้ำจำหน่ายลูกค้า - ปริมาณน้ำกักเก็บ
- ปริมาณน้ำสูบ (จ่ายตรง) คือ ปริมาณน้ำที่สูบจากแหล่งน้ำต้นทางไปถึงลูกค้าโดยตรง
- ปริมาณน้ำจำหน่ายลูกค้า คือ ปริมาณน้ำที่ผ่านมิตเตอร์ลูกค้า