การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่การบูรณาการจัดการน้ำร่วมกัน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย เกิดจากอิทธิพลของความกดอากาศ อิทธิพลกระแสลมของมหาสมุทรแปซิฟิกส่งผลกระทบต่อปรากฎการณ์เอลนีโญ และลานีญา รวมถึงอิทธิพลจากมหาสมุทรอินเดียซึ่งส่งผลกระทบต่อปรากฏการณ์ IOD (Indian Ocean Dipole) ล้วนส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ภาคตะวันออก บริษัทจึงได้มีการติดตามการคาดการณ์ปริมาณฝนล่วงหน้า (แบบจำลอง International Research Institute for Climate and Society : IRI) สถานการณ์ปริมาณฝน ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ และคาดการณ์สภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องและใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับประเมินความเพียงพอของแหล่งน้ำต้นทุนในพื้นที่ให้บริการจ่ายน้ำของบริษัท เทียบกับความต้องการใช้น้ำของลูกค้า เพื่อพัฒนาโครงข่ายท่อส่งน้ำให้รองรับความต้องการใช้น้ำในระยะยาวได้

การสร้างเสถียรภาพของระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำ

บริษัทมีโครงข่ายท่อส่งน้ำครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก อันได้แก่ จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา ความยาวท่อรวมกว่า 553 กิโลเมตร โดยมีการเชื่อมโยงต่อกัน และเชื่อมต่อแหล่งน้ำหลัก-แหล่งน้ำสำรองของทั้งภาครัฐ และของบริษัท ในรูปแบบ Water Grid ให้สามารถบริหารจัดการน้ำแต่ละแหล่งได้อย่างมีความเหมาะสมต่อความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ สอดคล้องต่อปริมาณน้ำต้นทุนในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการพิจารณาแหล่งน้ำสำรองเพื่อสร้างเสถียรภาพของแหล่งน้ำ ตลอดจนพัฒนาโครงข่ายท่อส่งน้ำรองรับความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออก บริษัทจึงมีแผนการดำเนินงานสร้างเสถียรภาพของระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำ ประกอบด้วยกัน 3 ส่วน ได้แก่

  • การเพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำต้นทุน
  • การพัฒนาระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำ (Water Grid)
  • การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศล่วงหน้า
การเพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำต้นทุน

จากการประเมินปริมาณความต้องการใช้น้ำจากระบบท่อส่งน้ำของบริษัท ทั้งในส่วนของปริมาณน้ำดิบ ปริมาณน้ำประปา และน้ำอุตสาหกรรม พบว่าความต้องการใช้น้ำในปัจจุบัน และในอนาคตเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องตามนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนการขยายตัวในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) บริษัทได้ทบทวนศักยภาพของโครงการเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนในพื้นที่ลุ่มน้ำต่าง ๆ โดยพิจารณาถึงความเพียงพอควบคู่ไปกับตำแหน่งของการพัฒนาแหล่งน้ำให้สอดคล้องกับตำแหน่งการใช้น้ำ และพิจารณาการพัฒนาแหล่งน้ำให้สูงกว่าปริมาณความต้องการใช้น้ำไม่น้อยกว่าร้อยละ 25.00 ของปริมาณความต้องการใช้น้ำทั้งหมด เพื่อรองรับสถานการณ์ในช่วงปีที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่าปกติ บริษัทจึงได้จัดทำแผนหลักในการพัฒนาแหล่งน้ำ และโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำทั้งในส่วนของการปรับปรุงท่อส่งน้ำเดิม การพัฒนาท่อส่งน้ำเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำ รวมถึงการพิจารณาแหล่งน้ำสำรองทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อสร้างเสถียรภาพของแหล่งน้ำดิบ อันจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าในช่วง20 ปีข้างหน้า โดยมี การปรับแผนการพัฒนาแหล่งน้ำไปจากปีก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้น้ำของชุมชนโดยรอบ รายละเอียดดังนี้

การพัฒนาระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำ (Water Grid)

บริษัทดำเนินโครงการเพิ่มศักยภาพให้กับระบบโครงข่ายท่อ ส่งน้ำของบริษัทอย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมโยงแหล่งน้ำหลักจากอ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำสำรองของทั้งภาครัฐ และของบริษัทในรูปแบบ Water Grid ให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเหมาะสมต่อความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ ดังนี้

1. โครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำดิบอ่างเก็บน้ำคลองหลวง-ชลบุรี

เพื่อเชื่อมโยงแหล่งน้ำหลักจากอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชชโลทร ของทั้งภาครัฐกับ Water Grid ให้สามารถบริหารจัดการน้ำเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับพื้นที่ชลบุรี และพื้นที่ปลวกแดง-บ่อวิน รองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ตามนโยบายรัฐบาลรวมถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำในอนาคต โดยมีความสามารถในการส่งจ่ายน้ำได้ประมาณ 142,000 ลบ.ม.ต่อวัน ความก้าวหน้าร้อยละ 93.00 ปัจจุบันสามารถจ่ายน้ำย้อนกลับผ่านเส้นท่อได้

2. โครงการก่อสร้างระบบท่อหนองปลาไหล-หนองค้อ-แหลมฉบัง

เพื่อเชื่อมโยงแหล่งน้ำหลักจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ ของทั้งภาครัฐกับ Water Grid รวมถึงเป็นการเพิ่มศักยภาพการส่งจ่ายน้ำจากพื้นที่ระยองไปยังพื้นที่ชลบุรี ให้สามารถบริหารจัดการน้ำเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับพื้นที่ชลบุรี รองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำในอนาคต โดยมีความสามารถในการส่งจ่ายน้ำได้ประมาณ 350,000 ลบ.ม.ต่อวัน ปัจจุบันสามารถจ่ายน้ำผ่านเส้นท่อไปยังพื้นที่แหลมฉบังได้ และงานก่อสร้างจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในไตรมาสแรก ของปี 2568

3. โครงการก่อสร้างระบบท่อมาบตาพุด-สัตหีบ

เพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งจ่ายน้ำจากพื้นที่ระยอง รวมถึงการขยายกำลังการผลิตกิจการประปาสัตหีบ โดยสามารถส่งจ่ายน้ำเพิ่มได้ประมาณ 135,000 ลบ.ม.ต่อวัน รองรับความต้องการใช้น้ำของลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้ารายใหม่ในอนาคตในพื้นที่สัตหีบ ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสามารถส่งจ่ายน้ำให้ลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567

การประสานความร่วมมือ และคาดการณ์สภาพภูมิอากาศล่วงหน้า

เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบริษัทมีการวางแผนการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงได้มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เช่น กรมชลประทาน การประปาส่วนภูมิภาค การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการน้ำภาคตะวันออก (Keyman Water War Room) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) สถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กรมอุตุนิยมวิทยา กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นต้น

การบริหารจัดการน้ำร่วมกัน

แหล่งน้ำที่บริษัทนำมาใช้บริหารจัดการเป็นน้ำผิวดินที่สูบมาจากแหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งสามารถจำแนกตามการใช้งานได้เป็น 2 ลักษณะ คือ แหล่งน้ำหลัก และแหล่งน้ำสำรอง โดยมีรายละเอียดการจำแนก ดังนี้

แหล่งน้ำหลัก

แหล่งน้ำที่บริษัทได้รับการจัดสรรจากกรมชลประทาน ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำ ประแสร์ อ่างเก็บน้ำบางพระ ทั้งนี้ อ่างเก็บน้ำหนองค้อ และอ่างเก็บน้ำดอกกราย อยู่ระหว่างปรับปรุงและก่อสร้างสถานีสูบน้ำใหม่ เพื่อทดแทนทรัพย์สินส่วนที่คืนกรมธนารักษ์

แหล่งน้ำธรรมชาติที่บริษัทสามารถสูบใช้น้ำได้ในแต่ละปีโดยที่มีปริมาณน้ำต้นทุนเป็นปริมาณน้ำท่าตามฤดูกาล ได้แก่ แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำระยอง คลองทับมา และแหล่งน้ำเอกชน

แหล่งน้ำสำรอง

แหล่งน้ำที่มีไว้เพื่อเสริมความมั่นคงของแหล่งน้ำหลัก ซึ่งต้องมีการเก็บสำรองน้ำไว้ล่วงหน้า โดยจะใช้ในกรณีที่ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำหลักมีน้อย และเกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ได้แก่ สระสำรองน้ำดิบสำนักบก สระสำรองน้ำดิบฉะเชิงเทรา สระสำรองน้ำดิบทับมา เป็นต้น

แหล่งน้ำหลักที่ได้รับจัดสรรจากกรมชลประทานเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนตุลาคมของปีถัดไป โดยในแต่ละปีโครงการชลประทาน จะแจ้งผู้ใช้น้ำนอกภาคเกษตร (ภาคอุปโภคบริโภค และภาคอุตสาหกรรม) เพื่อทราบปริมาณน้ำที่ได้รับอนุญาตในปีนั้น ๆ ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำช่วงต้นฤดูแล้ง (เดือนพฤศจิกายน) ปริมาณน้ำกักเก็บต่ำสุด แผนการส่งจ่ายน้ำภาคเกษตร การระบายน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ เป็นต้น

ทั้งนี้ ระหว่างรอบปีการจัดสรรจะมีการติดตามปริมาณการใช้น้ำดังกล่าว เพื่อจัดสรรปริมาณน้ำเพิ่มเติม ในกรณีที่มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำเพิ่มระหว่างรอบปี โดยสอดคล้องกับกรอบหนังสืออนุญาตการขอใช้น้ำจากแหล่งน้ำ

ในส่วนการสูบน้ำจากแม่น้ำบางปะกง ในปี 2567 บริษัทจัดประชุมกลุ่มผู้ใช้น้ำลุ่มน้ำบางปะกง และผู้เกี่ยวของเพื่อขอมติในการสูบน้ำ โดยเริ่มสูบน้ำระหว่างเดือนสิงหาคม 2567 ถึง พฤศจิกายน 2567 เพื่อส่งจ่ายให้กับผู้ใช้น้ำในภาคอุปโภคบริโภค และภาคอุตสาหกรรม ในพื้นที่ฉะเชิงเทราเป็นหลัก และอีกส่วนหนึ่งสูบผันไปเก็บสำรองไว้ยังอ่างเก็บน้ำบางพระ เพื่อสำรองไว้ให้กับผู้ใช้น้ำในพื้นที่ฉะเชิงเทรา และพื้นที่ชลบุรีในช่วงฤดูแล้งปี 2567

การบริหารจัดการน้ำ ในปี 2567 มีความท้าทายความสามารถในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เนื่องจากบริษัทได้ส่งมอบทรัพย์สินคืนกระทรวงการคลัง ในขณะที่ต้นปี 2567 โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ-แหลมฉบัง ของบริษัทแล้วเสร็จเพียงบางส่วน ส่งผลให้บริษัทต้องมีมาตรการซื้อน้ำดิบจากระบบท่อกรมธนารักษ์ส่งจ่ายให้กับลูกค้าในหลาย ๆ พื้นที่ เช่น ซื้อน้ำอ่างเก็บน้ำดอกกรายผ่านท่อกรมธนารักษ์ เพื่อส่งจ่ายพื้นที่ระยอง ซื้อน้ำอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลผ่านท่อกรมธนารักษ์ เพื่อส่งจ่ายพื้นที่ปลวกแดง-บ่อวิน และพื้นที่ชลบุรี เพื่อลดผลกระทบกับลูกค้าของบริษัท ตลอดจน เร่งรัดโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล- หนองค้อ-แหลมฉบัง ของบริษัทให้แล้วเสร็จ โดยภาพรวมสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำทั้งในพื้นที่ระยอง และพื้นที่ชลบุรี ในช่วงต้นปี 2567 ปริมาณน้ำฝนของพื้นที่ภาคตะวันออก มีค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยเพียงเล็กน้อย ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ชลบุรีใกล้เคียงเกณฑ์เฉลี่ย พื้นที่ระยอง ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์น้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติ นอกจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ที่มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งนี้ บริษัทกำหนดมาตรการเพื่อรองรับการใช้น้ำในปี 2568 ดังนี้

1
มาตรการเร่งรัดโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ
2
มาตรการเร่งสูบผันน้ำแม่น้ำบางปะกงมาฝากสำรองที่อ่างเก็บน้ำบางพระ และสระสำรองน้ำดิบสำนักบก
3
มาตรการใช้น้ำจากระบบสูบน้ำประแสร์หนองปลาไหลส่งพื้นที่ปลวกแดง-บ่อวิน และพื้นที่ชลบุรีอย่างเต็มประสิทธิภาพ
4
มาตรการสูบผันน้ำร่วมกับกรมชลประทาน และการประปาส่วนภูมิภาคตามบันทึกข้อตกลงการดำเนินการสูบผันน้ำเชื่อมโยงระบบสูบน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์ - อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ที่ประกอบด้วยระบบสูบประแสร์ - คลองใหญ่ และระบบสูบคลองสะพาน - ประแสร์
5
มาตรการสูบน้ำตามบันทึกข้อตกลงระบบสูบกลับวัดละหารไร่เติมอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล

สรุปปริมาณน้ำทั้งหมดที่บริษัทสูบเพื่อบริหารจัดการในปี 2567 อยู่ที่ 256.89 ล้าน ลบ.ม. ลดลงจากปี 2566 เล็กน้อยเนื่องจากผู้ใช้น้ำในพื้นที่มาบตาพุดมีแหล่งน้ำทางเลือกเพิ่มขึ้นทำให้ลดการใช้น้ำจากบริษัทลง การที่ผู้ใช้น้ำบางส่วนพิจารณาไปรับน้ำจากระบบท่อกรมธนารักษ์ และการที่เศรษฐกิจชะลอตัวในภาคอุตสาหกรรมบางส่วนทำให้ลดกำลังผลิต และลดการใช้น้ำ

ภาพรวมการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่
พื้นที่มาบตาพุด พื้นที่บ้านฉาง และสัตหีบ
ลูกค้าส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้เป็นภาคอุตสาหกรรม กว่าร้อยละ 72.00 และเป็นภาคอุปโภคบริโภค ร้อยละ 28.00 โดยใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำหลักในจังหวัดระยอง รวม 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำประแสร์ และแหล่งน้ำสำรองของบริษัท ได้แก่ สระสำรองน้ำดิบทับมา และอ่างเก็บน้ำดอกกรายผ่านท่อกรมธนารักษ์
พื้นที่ชลบุรี และพื้นที่ปลวกแดง-บ่อวิน
ลูกค้าส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้เป็นภาคอุปโภคบริโภค กว่าร้อยละ 51.00 และภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 49.00 โดย พื้นที่นี้ถือเป็นแนวยุทธศาสตร์เส้นใหม่ของประเทศ แต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่มีแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่น้อย ซึ่งมีเพียง 2 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองค้อ และอ่างเก็บน้ำบางพระ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาน้ำดิบจากจังหวัดระยอง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และอ่างเก็บน้ำประแสร์ โดยการสูบผันน้ำผ่านระบบท่อส่งน้ำของบริษัท และอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลผ่านท่อของกรมธนารักษ์
พื้นที่ฉะเชิงเทรา
ลูกค้าส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้เป็นภาคอุปโภคบริโภคกว่า ร้อยละ 86.00 และภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 14.00 ใช้น้ำจากแม่น้ำบางปะกงเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาการรุกล้ำของน้ำเค็มทำให้พื้นที่บางแห่งได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำจืดในช่วงฤดูแล้ง ดังนั้น เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปีจึงต้องบริหารจัดการโดยการซื้อน้ำดิบจากแหล่งน้ำเอกชน มาเสริมความมั่นคงด้านแหล่งน้ำในพื้นที่ช่วงฤดูแล้ง และการสูบน้ำจากแม่น้ำบางปะกงในช่วง น้ำหลากไปฝากไว้ที่อ่างเก็บน้ำบางพระ เพื่อนำกลับมาใช้ในช่วงฤดูแล้ง
การควบคุมน้ำสูญเสีย

น้ำ เป็นอีกหนึ่งทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประชาคมโลก และความยั่งยืนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นของการมีทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับคนรุ่นปัจจุบัน และอนาคต แต่ปัญหาการขาดแคลนน้ำที่นับวันยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไม่เพียงพอต่อภาคเกษตรกรรม ภาคอุปโภคบริโภค และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญของ ความยั่งยืนด้านน้ำ ดังนั้น องค์การสหประชาชาติ จึงได้ประกาศแผนปฏิบัติการระดับสากลระหว่างปี 2561 - 2571 (ค.ศ.2018-2028) ที่มีชื่อว่า “น้ำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Water for Sustainable Development) โดยมีการจัดการผสมผสานเรื่องของทรัพยากรน้ำให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น น้ำสูญเสีย (Non-revenue water : NRW) คือ น้ำที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบ ทำให้เกิดความสิ้นเปลือง ทั้งพลังงานจากการสูบจ่าย และการสูญเสียของทรัพยากรน้ำในระหว่างการสูบจ่ายก่อนถึงมือลูกค้า บริษัทในฐานะผู้นำใน การบริหารจัดการน้ำครบวงจรของประเทศ โดยเฉพาะการบริหารจัดการ และพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งรวมอุตสาหกรรม และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) บริษัทตระหนัก และเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้มาโดยตลอด ดังแสดงให้เห็นจากแนวทางการกำหนดนโยบายเรื่องการควบคุมน้ำสูญเสียให้อยู่ในปริมาณ ร้อยละ 2.50 ของปริมาณน้ำสูบเพื่อจ่ายตรงเข้าระบบ ไม่เพียงแค่การศึกษา และประเมินขีดความสามารถของการจัดการน้ำ บริษัทยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาเทคโนโลยีใหม่อันทันสมัยที่เหมาะกับระบบการสูบจ่ายน้ำของบริษัท

ในปี 2567 บริษัทสามารถควบคุมน้ำสูญเสียในเส้นท่ออยู่ที่ร้อยละ 1.33 ของปริมาณสูบ(จ่ายตรง) ดยบริษัทมีการควบคุมกิจกรรม การดำเนินงานต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดน้ำสูญเสียอย่างระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำเป็นสำคัญส่งผลให้บริษัทสามาถควบคุมปริมาณน้ำสูญเสียให้มีค่าน้อยกว่าของ ปี 2566

ตารางปริมาณการสูบจ่ายน้ำของบริษัท ปี 2565-2567
ปี
ปริมาณน้ำสูบ
(จ่ายตรง)
(ลบ.ม.)
ปริมาณน้ำจำหน่ายลูกค้า
(ลบ.ม.)
ปริมาณน้ำกักเก็บ
(ลบ.ม.)
ปริมาณน้ำสูญเสีย
(ลบ.ม.)
ร้อยละ ปริมาณน้ำสูญเสีย
(การจ่ายตรงเข้าระบบ)
2565 284,856,822 263,692,366 16,355,523 4,817,933 1.69
2566 299,251,262 260,592,055 33,122,633 5,536,574 1.85
2567 275,052,991 243,150,509 28,236,390 3,666,092 1.33
หมายเหตุ :
  1. ปริมาณน้ำสูญเสีย = ปริมาณน้ำสูบ(จ่ายตรง) - ปริมาณน้ำจำหน่ายลูกค้า - ปริมาณน้ำกักเก็บ
  2. ปริมาณน้ำสูบ (จ่ายตรง) คือ ปริมาณน้ำที่สูบจากแหล่งน้ำต้นทางไปถึงลูกค้าโดยตรง
  3. ปริมาณน้ำจำหน่ายลูกค้า คือ ปริมาณน้ำที่ผ่านมิตเตอร์ลูกค้า